Embedded Files
เส้นทางสู่แดนเถื่อน: จากอาณานิคม ...สู่ตำนานคาวบอย
เส้นทางสู่แดนเถื่อน: จากอาณานิคม ...สู่ตำนานคาวบอย
1607 – 1700s : ผู้บุกเบิกจากเกาะอังกฤษ
1607 – 1700s : ผู้บุกเบิกจากเกาะอังกฤษ
ช่วงต้นศตวรรษที่ 17 เรือใบของบริษัทอังกฤษเริ่มแล่นข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก บรรทุกผู้คนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ใฝ่ฝันจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในดินแดนซึ่งในสายตาของพวกเขา “ยังไม่มีใครครอบครอง” กลุ่มผู้บุกเบิกเหล่านี้ คือบรรพบุรุษที่คนรุ่นหลังรู้จักกันในนาม British Americans หรือชาวอเมริกันเชื้อสายอังกฤษนั่นเอง
ช่วงต้นศตวรรษที่ 17 เรือใบของบริษัทอังกฤษเริ่มแล่นข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก บรรทุกผู้คนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ใฝ่ฝันจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในดินแดนซึ่งในสายตาของพวกเขา “ยังไม่มีใครครอบครอง” กลุ่มผู้บุกเบิกเหล่านี้ คือบรรพบุรุษที่คนรุ่นหลังรู้จักกันในนาม British Americans หรือชาวอเมริกันเชื้อสายอังกฤษนั่นเอง
เริ่มต้นในปี 1607 มีการตั้งนิคม Jamestown ขึ้นใน Virginia
ถัดมาในปี ค.ศ. 1620 กลุ่มผู้แสวงหาศรัทธา (Pilgrims) ได้โดยสารเรือ Mayflower ข้ามมหาสมุทรมาและตั้งรกรากที่อาณานิคมพลีมัท (Plymouth) เพื่อแสวงหาเสรีภาพทางศาสนา
ต่อมามีกลุ่มต่าง ๆ ทยอยอพยพเข้ามา เช่น พิวริแทน (Puritans), เควกเกอร์ (Quakers), และชาวสกอต-ไอริชที่นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ (Scottish-Irish Protestants) พวกเขาไม่เพียงแค่มุ่งเอาชีวิตรอด แต่ยังทุ่มเทสร้างโรงเรียน, โบสถ์, และระบบการปกครองตนเองอย่างจริงจัง
ในเวลานั้น พวกเขายังคงเรียกตนเองว่า British subjects หรือ
“ พลเมืองของอังกฤษในแดนอาณานิคม ”
“ พลเมืองของอังกฤษในแดนอาณานิคม ”
1775 – 1783 : การปฏิวัติ และกำเนิดความเป็น “American”
1775 – 1783 : การปฏิวัติ และกำเนิดความเป็น “American”
เมื่อภาษีและกฎระเบียบจากอังกฤษเริ่มรัดคอชาวอาณานิคม ผู้คนส่วนใหญ่ รวมถึงบุคคลสำคัญอย่าง George Washington, Thomas Jefferson, และ Benjamin Franklin ซึ่งล้วนเป็น British Americans ต่างลุกขึ้นมาเป็นผู้นำในการ “ปลดแอก” ตนเองจากอังกฤษ
เมื่อภาษีและกฎระเบียบจากอังกฤษเริ่มรัดคอชาวอาณานิคม ผู้คนส่วนใหญ่ รวมถึงบุคคลสำคัญอย่าง George Washington, Thomas Jefferson, และ Benjamin Franklin ซึ่งล้วนเป็น British Americans ต่างลุกขึ้นมาเป็นผู้นำในการ “ปลดแอก” ตนเองจากอังกฤษ
ในช่วงเวลานี้เอง คำว่า “American” เริ่มถูกใช้แทน “British colonist” ด้วยความภาคภูมิ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1776 คำประกาศอิสรภาพได้เริ่มต้นด้วยถ้อยคำว่า
ในช่วงเวลานี้เอง คำว่า “American” เริ่มถูกใช้แทน “British colonist” ด้วยความภาคภูมิ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1776 คำประกาศอิสรภาพได้เริ่มต้นด้วยถ้อยคำว่า
นี่คือจุดเปลี่ยนที่ British Americans ไม่ใช่ชาวอังกฤษอีกต่อไป แต่กลายเป็น “ชาวอเมริกัน” อย่างแท้จริง
นี่คือจุดเปลี่ยนที่ British Americans ไม่ใช่ชาวอังกฤษอีกต่อไป แต่กลายเป็น “ชาวอเมริกัน” อย่างแท้จริง
1800s : ผู้สร้างประเทศ + ผู้ขยายพรมแดน
1800s : ผู้สร้างประเทศ + ผู้ขยายพรมแดน
หลังจากชนะสงคราม พวกเขาตั้งชื่อดินแดนใหม่ว่า United States โดยที่ชาวอเมริกันเชื้อสายบริติชยังคงเป็นกำลังหลักในสังคม ตั้งแต่ผู้นำประเทศ,รัฐมนตรี รวมไปถึงชาวไร่และเกษตรกร
หลังจากชนะสงคราม พวกเขาตั้งชื่อดินแดนใหม่ว่า United States โดยที่ชาวอเมริกันเชื้อสายบริติชยังคงเป็นกำลังหลักในสังคม ตั้งแต่ผู้นำประเทศ,รัฐมนตรี รวมไปถึงชาวไร่และเกษตรกร
ในยุคนั้นแนวคิด " โองการของพระเจ้า " หรือ Manifest Destiny ความเชื่อที่ว่าชาวอเมริกันมีพันธกิจขยายอารยธรรมไปสู่ดินแดนตะวันตกและแปซิฟิกค่อนข้างเป็นที่แพร่หลาย เหล่าลูกหลานของผู้ตั้งถิ่นฐานยุคแรกจำนวนมากกลายเป็นผู้ที่ขี่เกวียน, ม้าศึก, และแบกปืนมุ่งสู่ดินแดนตะวันตก พวกเขาเริ่มก่อตั้งเมืองกลางทุ่งโล่ง, เปิดเหมืองทองคำ, ต่อสู้กับชนพื้นเมือง, และวางรางรถไฟเชื่อมทั้งทวีป
ในยุคนั้นแนวคิด " โองการของพระเจ้า " หรือ Manifest Destiny ความเชื่อที่ว่าชาวอเมริกันมีพันธกิจขยายอารยธรรมไปสู่ดินแดนตะวันตกและแปซิฟิกค่อนข้างเป็นที่แพร่หลาย เหล่าลูกหลานของผู้ตั้งถิ่นฐานยุคแรกจำนวนมากกลายเป็นผู้ที่ขี่เกวียน, ม้าศึก, และแบกปืนมุ่งสู่ดินแดนตะวันตก พวกเขาเริ่มก่อตั้งเมืองกลางทุ่งโล่ง, เปิดเหมืองทองคำ, ต่อสู้กับชนพื้นเมือง, และวางรางรถไฟเชื่อมทั้งทวีป
1820 - 1865 : ความขัดแย้งระหว่างฝั่งเหนือ และฝั่งใต้
1820 - 1865 : ความขัดแย้งระหว่างฝั่งเหนือ และฝั่งใต้
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 สหรัฐอเมริกาขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทว่าความขัดแย้งระหว่างรัฐเหนือและรัฐใต้กลับทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แม้ทั้งสองฝ่ายจะเป็น British Americans เช่นเดียวกัน แต่กลับมีแนวคิดและโครงสร้างเศรษฐกิจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 สหรัฐอเมริกาขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทว่าความขัดแย้งระหว่างรัฐเหนือและรัฐใต้กลับทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แม้ทั้งสองฝ่ายจะเป็น British Americans เช่นเดียวกัน แต่กลับมีแนวคิดและโครงสร้างเศรษฐกิจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
The North ฝ่ายเหนือ
The North ฝ่ายเหนือ
ฝ่ายเหนือนั้นพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว, ต่อต้านการใช้แรงงานทาส, และยึดมั่นในแนวคิดเสรีนิยม พวกเขาสนับสนุนรัฐบาลสหพันธรัฐที่เข้มแข็งและส่งเสริมการขยายโอกาสทางการศึกษา ทั้งนี้พวกเขามองตนเองเป็นผู้นำด้านวิทยาการ, ความก้าวหน้า, และความทันสมัย พร้อมผลักดันให้ประเทศเดินหน้าไปสู่อนาคตที่อิสระและเท่าเทียมมากขึ้น
The South ฝ่ายใต้
ฝ่ายเหนือนั้นพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว, ต่อต้านการใช้แรงงานทาส, และยึดมั่นในแนวคิดเสรีนิยม พวกเขาสนับสนุนรัฐบาลสหพันธรัฐที่เข้มแข็งและส่งเสริมการขยายโอกาสทางการศึกษา ทั้งนี้พวกเขามองตนเองเป็นผู้นำด้านวิทยาการ, ความก้าวหน้า, และความทันสมัย พร้อมผลักดันให้ประเทศเดินหน้าไปสู่อนาคตที่อิสระและเท่าเทียมมากขึ้น
The South ฝ่ายใต้
เศรษฐกิจทางฝ่ายใต้นั้นพึ่งพาการเกษตรเป็นหลัก โดยเฉพาะการปลูกฝ้าย, ใช้แรงงานทาสอย่างเข้มข้น, และยึดมั่นในอำนาจรัฐแบบกระจายตัวเพื่อปกป้องวิถีชีวิตอนุรักษ์นิยม พวกเขามองตนเองเป็นผู้พิทักษ์ขนบอเมริกันดั้งเดิมและสิทธิของรัฐ พร้อมปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงที่อาจคุกคามระบบเศรษฐกิจและสังคมที่สืบต่อกันมา
เศรษฐกิจทางฝ่ายใต้นั้นพึ่งพาการเกษตรเป็นหลัก โดยเฉพาะการปลูกฝ้าย, ใช้แรงงานทาสอย่างเข้มข้น, และยึดมั่นในอำนาจรัฐแบบกระจายตัวเพื่อปกป้องวิถีชีวิตอนุรักษ์นิยม พวกเขามองตนเองเป็นผู้พิทักษ์ขนบอเมริกันดั้งเดิมและสิทธิของรัฐ พร้อมปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงที่อาจคุกคามระบบเศรษฐกิจและสังคมที่สืบต่อกันมา
1860 : จุดแตกหัก และจุเริ่มต้นสงครามกลางเมือง
1860 : จุดแตกหัก และจุเริ่มต้นสงครามกลางเมือง
การถกเถียงเรื่อง “รัฐใหม่ควรอนุญาตให้มีทาสหรือไม่” ทำให้ความตึงเครียดระหว่างเหนือและใต้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่ง Abraham Lincoln ผู้คัดค้านการขยายระบบทาสชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 1860 ชัยชนะครั้งนั้นกลายเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้ 11 รัฐทางใต้ประกาศแยกตัว ก่อตั้ง “สมาพันธรัฐ” หรือ Confederacy และผลักประเทศเข้าสู่ "สงครามกลางเมือง" ในช่วงปี 1861 – 1865 การปะทะครั้งใหญ่ระหว่างฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ที่ชี้อนาคตของสหรัฐฯ
การถกเถียงเรื่อง “รัฐใหม่ควรอนุญาตให้มีทาสหรือไม่” ทำให้ความตึงเครียดระหว่างเหนือและใต้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่ง Abraham Lincoln ผู้คัดค้านการขยายระบบทาสชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 1860 ชัยชนะครั้งนั้นกลายเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้ 11 รัฐทางใต้ประกาศแยกตัว ก่อตั้ง “สมาพันธรัฐ” หรือ Confederacy และผลักประเทศเข้าสู่ "สงครามกลางเมือง" ในช่วงปี 1861 – 1865 การปะทะครั้งใหญ่ระหว่างฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ที่ชี้อนาคตของสหรัฐฯ
APRIL 1865 : การลอบสังหารประธานาธิบดี ลินคอล์น
APRIL 1865 : การลอบสังหารประธานาธิบดี ลินคอล์น
ในวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1865 เพียงไม่กี่วันหลังสงครามกลางเมืองสิ้นสุด ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์นถูกลอบสังหารที่โรงละครฟอร์ด (Ford’s Theatre) กรุงวอชิงตัน ดีซี John Wilkes Booth นักแสดงชาวใต้หัวรุนแรงที่ไม่พอใจต่อความพ่ายแพ้ของฝ่ายใต้ และการยกเลิกระบบทาส
ในวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1865 เพียงไม่กี่วันหลังสงครามกลางเมืองสิ้นสุด ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์นถูกลอบสังหารที่โรงละครฟอร์ด (Ford’s Theatre) กรุงวอชิงตัน ดีซี John Wilkes Booth นักแสดงชาวใต้หัวรุนแรงที่ไม่พอใจต่อความพ่ายแพ้ของฝ่ายใต้ และการยกเลิกระบบทาส
Booth ยิงลินคอล์นที่ศีรษะขณะชมละคร และลินคอล์นเสียชีวิตในเช้าวันถัดมา เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสร้างความสะเทือนใจไปทั่วประเทศ แต่ยังทำให้แผนการ “ฟื้นฟูประเทศ” ของเขาต้องหยุดชะงัก เปิดทางให้ความขัดแย้งทางการเมืองและสังคมยังคงดำเนินต่อไป
Booth ยิงลินคอล์นที่ศีรษะขณะชมละคร และลินคอล์นเสียชีวิตในเช้าวันถัดมา เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสร้างความสะเทือนใจไปทั่วประเทศ แต่ยังทำให้แผนการ “ฟื้นฟูประเทศ” ของเขาต้องหยุดชะงัก เปิดทางให้ความขัดแย้งทางการเมืองและสังคมยังคงดำเนินต่อไป
1865 : ผลลัพธ์จากสงคราม
1865 : ผลลัพธ์จากสงคราม
สงครามจบลงโดยที่ฝ่ายเหนือเป็นฝ่ายชนะ รัฐบาลกลางมีอำนาจมากขึ้น ประธานาธิบดี Abraham Lincoln ได้ประกาศยกเลิกทาสในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1863 โครงสร้างของประเทศถูกกำหนดโดยฝั่งเหนือซึ่งมองว่าตนเป็นผู้ชนะทั้งทางการเมือง และศีลธรรม ส่วนฝ่ายใต้นั้นเข้าสู่ยุค "ฟื้นฟู" หรือ Reconstruction Era หลังจากสูญเสียอำนาจไป
สงครามจบลงโดยที่ฝ่ายเหนือเป็นฝ่ายชนะ รัฐบาลกลางมีอำนาจมากขึ้น ประธานาธิบดี Abraham Lincoln ได้ประกาศยกเลิกทาสในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1863 โครงสร้างของประเทศถูกกำหนดโดยฝั่งเหนือซึ่งมองว่าตนเป็นผู้ชนะทั้งทางการเมือง และศีลธรรม ส่วนฝ่ายใต้นั้นเข้าสู่ยุค "ฟื้นฟู" หรือ Reconstruction Era หลังจากสูญเสียอำนาจไป
ยุคทองของ American Cowboy ช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ในสหรัฐอเมริกา ถือเป็นยุคทองของคาวบอย เส้นทางรถไฟสายใหม่ได้เชื่อมโยงทุ่งหญ้าตะวันตกกับชายฝั่งตะวันออก เปิดประตูสู่ตลาดที่ต้องการเนื้อวัวคุณภาพสูง ภาพถ่ายเหล่านี้บ่งบอกถึงชีวิตที่เหน็ดเหนื่อย และเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่ทว่าความเป็นอิสระบนผืนแผ่นดินเสรีแห่งอเมริกาตะวันตก ยังคงดึงดูดชายผู้กล้าหาญนับพันให้เสี่ยงชีวิตและหัวใจเพื่อสานฝันแห่งแดนใหม่
ยุคทองของ American Cowboy ช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ในสหรัฐอเมริกา ถือเป็นยุคทองของคาวบอย เส้นทางรถไฟสายใหม่ได้เชื่อมโยงทุ่งหญ้าตะวันตกกับชายฝั่งตะวันออก เปิดประตูสู่ตลาดที่ต้องการเนื้อวัวคุณภาพสูง ภาพถ่ายเหล่านี้บ่งบอกถึงชีวิตที่เหน็ดเหนื่อย และเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่ทว่าความเป็นอิสระบนผืนแผ่นดินเสรีแห่งอเมริกาตะวันตก ยังคงดึงดูดชายผู้กล้าหาญนับพันให้เสี่ยงชีวิตและหัวใจเพื่อสานฝันแห่งแดนใหม่
1865 - 1895 : ยุคคาวบอย – ตำนานแดนเถื่อนแห่งอเมริกา
1865 - 1895 : ยุคคาวบอย – ตำนานแดนเถื่อนแห่งอเมริกา
หลังจากที่สงครามกลางเมืองจบลง ดินแดนแถบตะวันตกยังแทบไร้การควบคุมจากรัฐบาลกลาง ทหารผ่านศึกและคนรุ่นใหม่จึงเดินทางสู่ทิศตะวันตก ขี่ม้า, ขนสินค้า, เปิดร้านเหล้า, และตั้งกฎหมายกันเอง พวกเขากลายเป็นคาวบอย, นายอำเภอ (Sheriffs), โจร (Bandits), นักล่าค่าหัว (Bounty hunters), และนักผจญภัยในแดนเถื่อน
หลังจากที่สงครามกลางเมืองจบลง ดินแดนแถบตะวันตกยังแทบไร้การควบคุมจากรัฐบาลกลาง ทหารผ่านศึกและคนรุ่นใหม่จึงเดินทางสู่ทิศตะวันตก ขี่ม้า, ขนสินค้า, เปิดร้านเหล้า, และตั้งกฎหมายกันเอง พวกเขากลายเป็นคาวบอย, นายอำเภอ (Sheriffs), โจร (Bandits), นักล่าค่าหัว (Bounty hunters), และนักผจญภัยในแดนเถื่อน
นี่คือยุค “แดนเถื่อน” ของอเมริกา ซึ่งเต็มไปด้วยบุคคลและสถานที่ที่ต่อมากลายเป็นตำนานอย่าง Billy the Kid และ Jesse James ที่เป็นโจรชื่อดัง, Wyatt Earp นายอำเภอมือปราบในตำนาน, เมืองชายแดนอย่าง Tombstone, Dodge City, และ Deadwood ที่เต็มไปด้วยนักเสี่ยงโชคและนักผจญภัย
นี่คือยุค “แดนเถื่อน” ของอเมริกา ซึ่งเต็มไปด้วยบุคคลและสถานที่ที่ต่อมากลายเป็นตำนานอย่าง Billy the Kid และ Jesse James ที่เป็นโจรชื่อดัง, Wyatt Earp นายอำเภอมือปราบในตำนาน, เมืองชายแดนอย่าง Tombstone, Dodge City, และ Deadwood ที่เต็มไปด้วยนักเสี่ยงโชคและนักผจญภัย
ภาพจำยุคนี้คือปืน Colt ที่อยู่ข้างเอว, ตรานายอำเภอที่บ่งบอกอำนาจ, และเสียงเปียโนดังจากโรงเหล้าไม้ ที่เป็นทั้งบาร์และศูนย์รวมข่าวสารของชุมชนในแดนตะวันตก แม้จะกินเวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษ แต่วัฒนธรรมคาวบอยก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็น “American”
ภาพจำยุคนี้คือปืน Colt ที่อยู่ข้างเอว, ตรานายอำเภอที่บ่งบอกอำนาจ, และเสียงเปียโนดังจากโรงเหล้าไม้ ที่เป็นทั้งบาร์และศูนย์รวมข่าวสารของชุมชนในแดนตะวันตก แม้จะกินเวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษ แต่วัฒนธรรมคาวบอยก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็น “American”
1870 - 1914
1870 - 1914
คลื่นผู้อพยพ
คลื่นผู้อพยพ
ปลายศตวรรษที่ 19 สหรัฐฯ ต้อนรับผู้อพยพจากยุโรปใต้และตะวันออก เช่น อิตาลี โปแลนด์ และรัสเซีย ผู้อพยพส่วนใหญ่เป็นคาทอลิกหรือยิว ซึ่งต่างจาก British Americans โปรเตสแตนต์เชื้อสายอังกฤษ ผู้อพยพเหล่านี้มักตั้งรกรากในเมืองใหญ่ ทำงานโรงงานและเหมืองแร่ ขณะที่เจ้าถิ่นกังวลต่อการสูญเสียอัตลักษณ์ จนนำไปสู่ความตึงเครียดและกระแสชาตินิยมในเวลาต่อมา
ปลายศตวรรษที่ 19 สหรัฐฯ ต้อนรับผู้อพยพจากยุโรปใต้และตะวันออก เช่น อิตาลี โปแลนด์ และรัสเซีย ผู้อพยพส่วนใหญ่เป็นคาทอลิกหรือยิว ซึ่งต่างจาก British Americans โปรเตสแตนต์เชื้อสายอังกฤษ ผู้อพยพเหล่านี้มักตั้งรกรากในเมืองใหญ่ ทำงานโรงงานและเหมืองแร่ ขณะที่เจ้าถิ่นกังวลต่อการสูญเสียอัตลักษณ์ จนนำไปสู่ความตึงเครียดและกระแสชาตินิยมในเวลาต่อมา
แรงต้านจากเจ้าถิ่น
แรงต้านจากเจ้าถิ่น
การหลั่งไหลของผู้อพยพรุ่นใหม่ทำให้ British Americans กังวลว่าอัตลักษณ์และอำนาจตนจะถูกสั่นคลอน จึงผลักดันแนวคิด Americanism & Anglo-Saxon superiority เพื่อย้ำความเหนือกว่าทางวัฒนธรรมและต่อต้านวัฒนธรรมจากคลื่นอพยพใหม่
การหลั่งไหลของผู้อพยพรุ่นใหม่ทำให้ British Americans กังวลว่าอัตลักษณ์และอำนาจตนจะถูกสั่นคลอน จึงผลักดันแนวคิด Americanism & Anglo-Saxon superiority เพื่อย้ำความเหนือกว่าทางวัฒนธรรมและต่อต้านวัฒนธรรมจากคลื่นอพยพใหม่
องค์กรลับ Nativist
องค์กรลับ Nativist
ในปี 1887 Henry F. Bowers ก่อตั้ง American Protective Association (APA) ที่รัฐ Iowa ในฐานะองค์กรลับของชาวโปรเตสแตนต์อเมริกัน มีเป้าหมายหลักคือต่อต้านการอพยพของชาวคาทอลิก และปกป้องอิทธิพลของโปรเตสแตนต์ในสหรัฐฯ
ในปี 1887 Henry F. Bowers ก่อตั้ง American Protective Association (APA) ที่รัฐ Iowa ในฐานะองค์กรลับของชาวโปรเตสแตนต์อเมริกัน มีเป้าหมายหลักคือต่อต้านการอพยพของชาวคาทอลิก และปกป้องอิทธิพลของโปรเตสแตนต์ในสหรัฐฯ
ช่วงทศวรรษ 1890 องค์กรเติบโตอย่างรวดเร็ว มีสมาชิกมากกว่า 2 ล้านคน และมีอิทธิพลต่อการเมืองท้องถิ่น การออกกฎหมาย และทัศนคติของสังคมต่อผู้อพยพคาทอลิก
ช่วงทศวรรษ 1890 องค์กรเติบโตอย่างรวดเร็ว มีสมาชิกมากกว่า 2 ล้านคน และมีอิทธิพลต่อการเมืองท้องถิ่น การออกกฎหมาย และทัศนคติของสังคมต่อผู้อพยพคาทอลิก
ครองสื่อ คุมสถาบัน
ครองสื่อ คุมสถาบัน
British Americans ยังคงครองอำนาจในสื่อ หนังสือพิมพ์ สถาบันการศึกษา และภาคการเงิน ทำให้พวกเขามีอิทธิพลอย่างสูงต่อการกำหนดความคิดเห็นของสาธารณชน ผ่านการเผยแพร่แนวคิด Americanism และ Anglo-Saxon superiority พวกเขาใช้สื่อและสถาบันเหล่านี้ไม่เพียงเพื่อรักษาค่านิยมและวัฒนธรรมของตน แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อต้านและจำกัดอิทธิพลของผู้อพยพรุ่นใหม่ที่มีความเชื่อ วัฒนธรรม และศาสนาต่างออกไป
British Americans ยังคงครองอำนาจในสื่อ หนังสือพิมพ์ สถาบันการศึกษา และภาคการเงิน ทำให้พวกเขามีอิทธิพลอย่างสูงต่อการกำหนดความคิดเห็นของสาธารณชน ผ่านการเผยแพร่แนวคิด Americanism และ Anglo-Saxon superiority พวกเขาใช้สื่อและสถาบันเหล่านี้ไม่เพียงเพื่อรักษาค่านิยมและวัฒนธรรมของตน แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อต้านและจำกัดอิทธิพลของผู้อพยพรุ่นใหม่ที่มีความเชื่อ วัฒนธรรม และศาสนาต่างออกไป
อำนาจที่สั่นคลอน
อำนาจที่สั่นคลอน
แม้ British Americans จะพยายามรักษาอำนาจแต่คลื่นผู้อพยพจากยุโรปใต้และตะวันออก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในยุคอุตสาหกรรม ก็ค่อย ๆ สั่นคลอนโครงสร้างอำนาจเดิม เมืองใหญ่เริ่มมีชุมชนผู้อพยพเติบโตอย่างรวดเร็ว เสียงทางการเมืองและวัฒนธรรมจากกลุ่มใหม่ ๆ เริ่มดังขึ้น ทำให้เจ้าถิ่นไม่อาจครอบงำเวทีสังคมได้อย่างเบ็ดเสร็จเหมือนที่เคยผ่านมา
แม้ British Americans จะพยายามรักษาอำนาจแต่คลื่นผู้อพยพจากยุโรปใต้และตะวันออก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในยุคอุตสาหกรรม ก็ค่อย ๆ สั่นคลอนโครงสร้างอำนาจเดิม เมืองใหญ่เริ่มมีชุมชนผู้อพยพเติบโตอย่างรวดเร็ว เสียงทางการเมืองและวัฒนธรรมจากกลุ่มใหม่ ๆ เริ่มดังขึ้น ทำให้เจ้าถิ่นไม่อาจครอบงำเวทีสังคมได้อย่างเบ็ดเสร็จเหมือนที่เคยผ่านมา
Choose your path, become who you want to be,
and join Townsfolk to bring your imagination to life.
REFERENCE:
REFERENCE:
Ethnicity Home Page | American History | African | British | Chinese | Hispanic | Native | Mixed | East & South EU | West & North EU
Page updated
Google Sites
Report abuse